ชื่อวิทยาศาสตร์  Cinnamomum verum  J.Presl
 
ชื่อสามัญ  Cinnamon Tree
 
วงศ์  Lauraceae
 

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ เปลือกลำต้นมีสีเทาและหนา กิ่งขนานกับพื้นและตั้งชันขึ้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกลับกันตามลำต้น ลักษณะใบคล้ายรูปไข่ ปลายใบแหลม มีเส้นใบสามเส้น ดอก ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ขนาดเล็ก สีเหลือง มีกลิ่นหอม ผลมีสีดำคล้ายรูปไข่
ส่วนที่ใช้
: เปลือกต้น ใบ

 

สรรพคุณ :

  • เปลือกต้น 
    - ใช้บำรุงดวงจิต แก้อ่อนเพลีย ทำให้มีกำลัง
      
    - ใช้ขับลม บำรุงธาตุ
    - บดเป็นผงใช้เป็นเครื่องเทศใส่อาหาร
    - ใส่เครื่องสำอาง
    - ใช้ปรุงเป็นยาหอม แก้ลมวิงเวียน และจุกเสียด
  • ใบ
    - มีน้ำมัน ใช้แต่งกลิ่น
    - ฆ่าเชื้อ
 

อบเชยที่ใช้ปรุงอาหารจะใช้ชนิดหลอด (ม้วนเปลือกให้เป็นหลอด)

          อบเชยเป็นสมันไพรที่มีกลิ่นหอม รสสุขุมมีสรรพคุณช่วยย่อยและรักษากระเพาะลำไส้ต่างจากพริกและเครื่องแกงรสเผ็ดร้อนในต้มยำ แม้จะช่วยอาหารอร่อย แต่จะทำให้แสบร้อนกระเพาะลำไส้ แบะเกิดแผลในทางเดินอาหารได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่ร่างกายมีไฟธาตุสูง ทั้งเปลือกอบเชยและน้ำมันอบเชยไม่ปรากฏว่ามีพิษข้างเคียงแต่อย่างใดเพราะในอดีตและปัจจุบันมีการใช้อบเชยในอุตสาหกรรมทำอาหารและขนมประเภทขนมปัง คุกกี้ โดนัท ลูกอมดับกลิ่นปาก เป็นต้น รวมทั้งอุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอางด้วย เช่น ใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟัน ยาล้างปากและลูกอม ตลอดจนนำสารยูจีนอลที่แยกได้จากน้ำมันหอมระเหยของอบเชยไปใช้ทำเครื่องหอม เป็นเครื่องปรุงในการผลิตช็อคโกแลต เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และผลไม้กวน เช่นเชอรี่ พรุนเป็นต้น
 

สรรพคุณที่กล่าวถึงในบทความนี้ทั้งหมด คือส่วนที่ละลายน้ำได้ 

          แต่ไม่ใช่น้ำมันที่กลั่นได้ (cinnamon oil) ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมแต่งกลิ่น เหล้า ขนมหวาน สบู่ และยาเป็นต้น

          อบเชยชนิดที่ม้วนเปลือกให้เป็นหลอดชาวตะวันตกนิยมมาใช้คนกาแฟ ชา หรือโกโก้ เพื่อให้สาร MHCP ละลายออกมาอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้ หวังผลให้สาร MHCP ไปการควบคุมระดับน้ำตาล  แต่เราไม่สามารถทราบถึงปริมาณของสาร MHCP ที่ละลายออกมาได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีนัก หากต้องการใช้ในการรักษาก็ควรทราบปริมาณที่ใช้ให้ชัดเจน จึงควรมีการทำการวิจัยสารดังกล่าว  เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยในการกำหนดขนาดการใช้ต่อไป

อบเชยกับโรคเบาหวาน

         มีผลงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกาสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้  เป็นผลงานวิจัยโดยดร.ริชาร์ด แอนเดอร์สัน ได้แนะนำอาสาสมัครของเขาที่ป่วยเป็นเบาหวาน ให้ลองใช้อบเชยเป็นประจำ ปรากฏว่ามีอาสาสมัครนับร้อย ได้รายงานผลดีกลับเข้ามาว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ อบเชยช่วยเร่งให้การสันดาปน้ำตาลกลูโคสเพิ่มขึ้น 20 เท่า นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าการกินอบเชยนั้นไม่มีอันตราย แต่ถ้าหากการทดลองรับประทานเองแต่ละบุคคลนั้น หากได้ผลดีก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเกินคาด ทั้งยังเป็นยาที่เป็นสารธรรมชาติ และในรายที่ไม่ได้ผลดี ก็ไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด

          อบเชยทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบการให้สัญญาณอินซูลิน (Insulin-Signaling System) และอาจจะทำได้ดีกว่าเสียอีกโดยที่อบเชยสามารถทำงาน ก่อนที่จะนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ สามารถใช้อบเชยร่วมกับอินซูลินได้ดี นอกจากนี้ยังพบว่าสาร MHCP สามารถลดความดันโลหิตของสัตว์ทดลองได้ และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกด้วย

          ดร.แอนเดอร์สัน แนะนำว่าควรทดลองใช้ 1/4 ช้อนชาถึง 1 ช้อนชาต่อวัน เมื่อคำนวณดูแล้ว 1 ช้อนชาจะหนักประมาณ 1,200 มิลลิกรัม ดังนั้น ขนาด 1/4 ช้อนชา จึงประมาณเท่ากับ 300 มิลลิกรัม สามารถบรรจุลงในแคปซูล หมายเลข 1 ได้กำลังพอดี ขนาดที่ควรใช้ก็คือ 1 แคปซูล ทุกมื้ออาหาร วันละ 4 มื้อ ในกรณีที่ใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือคนที่บิดามารดาเป็นเบาหวาน ควรรับประทานพร้อมกับอาหารมื้อใหญ่ วันละ 1-2 เม็ด ซึ่งจะช่วยย่อยอาหารและขับลมได้ด้วย อบเชยชนิดที่ ดร.แอนเดอร์สันใช้ทดลองนั้นเป็นชนิดที่เข้าหาได้ในประเทศสหรัฐอเมริกา มาจากเปลือกต้นอบเชยจีนคือ Cassia (Cinnamomum cassia) ซึงคล้ายกับชนิดที่มีอยู่ในป่าบ้านเรา อบเชยชวาจะใช้ได้ดีที่สุด

          ล่าสุดจากการติดต่อโดยตรงกับดร.แอนเดอร์สัน ได้รับทราบว่าผลการศึกษาวิจัยในคนถูกตีพิมพ์ในวารสาร เดือนธันวาคม พ.ศ.2546 ผลที่ได้จากการให้อบเชยแก่ผู้ป่วยเบาหวานพบว่าผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดดีขึ้นระหว่าง 12-30 % จึงเป็นผลที่ยืนยันการศึกษาวิจัยเดิมและน่านำไปใช้เพื่อป้องกัน และใช้ร่วมกับยารักษาเบาหวานต่อไป

 
ข้อมูลประกอบเรื่อง

ศาลาสมุนไพร โดย ดร.วีณา

http://www.salasamunprai.com/herbs/cinnamon.html

วารสารแพทย์ทางเลือก ปีที่ 3 ฉบับที่ 22 หน้า 10-11

 
 

 
 

ขอคำปรึกษา 096-890-3983